เหลี่ยมเพชร-ในแหวน

เหลี่ยมเพชร แสงรุ้งที่ลอดผ่านเพชรจนเกิดประกายระยิบยับ ถือเป็นผลงานชิ้นเอกของ ‘เหลี่ยมเพชร’ ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าและความงามให้เครื่องประดับเพชรมาหลายทศวรรษ อย่างไรก็ตามยังมีหลายคนเข้าใจผิด คิดว่าเหลี่ยมเพชรคือรูปทรงเพชร ทั้งที่ความจริงแล้วทั้งสองอย่างนี้ต่างกัน แต่จะต่างกันอย่างไร แล้วเหลี่ยมเพชรคืออะไรกันแน่ มาหาคำตอบไปพร้อมกัน 

 

เหลี่ยมเพชรคืออะไร ?

เหลี่ยมเพชรหมายถึงการเจียระไนเพชรธรรมชาติ ให้มีหน้าเพชรที่เรียงกันได้สัดส่วนที่สมมาตร โดยเพชรรูปทรงเดียวกันอาจมีเหลี่ยมเพชรที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับวิธีและเทคนิคการเจียระไน ซึ่งเหลี่ยมเพชรที่สมมาตรจะช่วยให้แสงไฟลอดสะท้อนผ่านหน้าเพชรได้ดียิ่งขึ้น และทำให้เพชรส่องประกายระยิบยับได้มากที่สุด ฉะนั้น การเจียระไนจึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุดในการเลือกซื้อเพชร

เพราะถึงแม้จะเลือกซื้อเพชรน้ำ 100 และไร้ตำหนิ (Flawless) แต่ถ้าหากเหลี่ยมเพชรไม่สมส่วน และเจียระไนไม่ดีพอ เพชรเม็ดนั้นก็จะไม่มีประกายระยิบระยับ หรือแสงรุ้ง (Dispersion) ที่สะท้อนจากหน้าเพชรอย่างสวยงามในแบบที่ควรจะเป็น

 

อ่านต่อ: เพชรธรรมชาติ คุณลักษณะเพชรที่ดีและเทคนิคก่อนซื้อที่ต้องรู้

 

เหลี่ยมเพชร-รูปหัวใจ

เหลี่ยมเพชร และเทคนิคการเจียระไน

เหลี่ยมเพชรเกิดจากการนำเพชรดิบมาเจียระไน โดยเทคนิคการเจียระไนให้เกิดหน้าเพชรหรือเหลี่ยมเพชรที่สมมาตร มี 2 วิธีหลัก ๆ ที่นิยมใช้ด้วยกัน ได้แก่ การเจียระไนแบบ Step Cut และ Brilliant Cut

 

อ่านต่อ: เพชรดิบ เบื้องหลังของเพชรเจียระไนเม็ดงามที่คุณต้องรู้

 

การเจียระไนแบบ Step Cut

Step Cut หรือ ‘เหลี่ยมเพชรขั้นบันได’ เป็นการเจียระไนเหลี่ยมเพชรให้เรียงตัวเป็นเส้นยาวขนานเป็นขั้น ๆ ไล่ลงจากหน้าเพชร (Facets) ไปสู่ขอบเพชร (Griddle) ซึ่งจำนวนเหลี่ยมเพชรแบบ Step Cut จะไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับเพชรดิบที่นำมาเจียระไน ซึ่ง Step Cut จะสร้างเหลี่ยมเพชรที่เห็นความใสสะอาดของเพชรได้มากขึ้น เหมาะกับเจ้าสาวรุ่นใหม่ที่ต้องการความโมเดิร์น แต่จำเป็นต้องเลือกเพชรตำหนิน้อย มาเจียระไรเหลี่ยมเพชร เพราะจะเห็นตำหนิได้ง่ายกว่าปกติ โดยจะนิยมใช้กับเพชรรูปทรงต่อไปนี้:

 

  • เพชรทรงมรกต (Emerald Cut): เหลี่ยมเพชรของเพชรทรงมรกต ขึ้นชื่อในเรื่องความงามที่มีลักษณะคล้ายกระจก โดยเหลี่ยมเพชรจะก่อให้เกิดความต่างระหว่างพื้นที่สว่าง และพื้นที่มืด ภายในตัวเพชรอย่างชัดเจน
  • เพชรทรงแอชเชอร์ (Asscher Cut): มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส โดยเหลี่ยมเพชรทั้งสี่มุมจะถูกเจียระไนให้มน โดยมีลักษณะคล้ายกังหันลม
  • เพชรทรงบาเก็ต (Baguette Cut): มีเหลี่ยมเพชรคล้ายเพชรทรงมรกต ต่างกันตรงที่มุมเพชรทรงบาเก็ตจะเป็นเหลี่ยมคม ไม่มนเหมือนเพชรทรงมรกต ซึ่งเพชรทรงนี้นิยมใช้เป็นเพชรประดับมากกว่าเพชรเม็ดหลักเพราะไม่มีประกายแวววาวเท่าที่ควร

 

การเจียระไนแบบ Brilliant Cut

Brilliant Cut หรือ ‘เหลี่ยมเพชรเกสร’ เป็นการเจียระไนที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะเหลี่ยมเพชรช่วยเสริมให้เกิดประกายแสงรุ้งที่สวยงาม ช่วยอำพรางรอยตำหนิบนเพชร เมื่อมองจากหน้าเพชรจะเห็นเหลี่ยมเรียงตัวติดกันอย่างสมมาตร เป็นวิธีเจียระไนที่ทำให้เสียเนื้อเพชรค่อนข้างน้อย แต่มีราคาสูงมาก โดยเฉพาะเพชรทรงกลม ซึ่งทรงเพชรที่นิยมเจียระไนแบบ Brilliant Cut มีดังต่อไปนี้

 

  • เพชรทรงกลม (Round Cut): เครื่องประดับเพชรเกือบ 75% ที่ขายได้คือเพชรทรงกลม เพราะคลาสสิกและมีหน้าเพชรมากถึง 68 หน้า เข้ากับเครื่องประดับทุกรูปแบบ ทั้งแหวนหมั้น แหวนแต่งงาน สร้อยเพชร และต่างหูเพชร
  • เพชรทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส  (Princess Cut): เหลี่ยมเพชรทั้งสี่มุมมีความคม เป็นทรงเพชรที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับสองรองจากเพชรทรงกลม เหมาะกับผู้ที่ต้องการความทันสมัย และเน้นความเป็นประกาย
  • เพชรทรงวงรี (Oval Cut): มีลักษณะคล้ายเพชรทรงกลม แต่เหลี่ยมเพชรจะช่วยเสริมขนาดให้ดูใหญ่ขึ้น เหมาะกับเครื่องประดับแนววินเทจ นอกจากนี้เพชรทรงวงรียังช่วยทำให้นิ้วดูเรียวยาวมากขึ้นเช่นกัน
  • เพชรทรงหยดน้ำ (The Pear Cut): มีลักษณะคล้ายเพชรทรงวงรี แต่ปลายแหลม ซึ่งเพชรทรงหยดน้ำที่สวยและเล่นไฟได้ดี จะต้องมีเหลี่ยมเพชรที่สมมาตรมากที่สุด

 

ฉะนั้น เหลี่ยมเพชรถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้น ๆ ที่ควรพิจารณาก่อนซื้อเพชร เพราะเพชรที่ได้รับการเจียระไนอย่างถูกต้องและมีเหลี่ยมเพชรที่สมมาตร จะช่วยให้เพชรสะท้อนแสงรุ้งจากหน้าเพชรได้สวยงามกว่าเพชรที่ถูกเจียระไนแบบผิดสัดส่วน ซึ่งร้าน Celi (เซ-ลี่) พิถีพิถันในทุกขั้นตอนการผลิตเพชรซึ่งรวมถึงการเจียระไนที่ได้มาตรฐานสูง อีกทั้งยังจำหน่ายเพชร 3EX ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพชรที่เล่นไฟดีที่สุดอีกด้วย