เพชรสีแดง-เพชรสีแดง

เพชรสีแดง จัดเป็นเพชรมูลค่าสูงที่หายากมากที่สุด เพราะมีโอกาสเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติได้น้อย ทำให้เพชรสีแดงในท้องตลาดปัจจุบันมักเป็นเพชรสีแดงสังเคราะห์ หรือเป็นเพชรร่วงขาวใสที่นำมาปรับปรุงคุณภาพโดยการฉายรังสีเสียมากกว่า ซึ่งข้อมูลด้านล่างจะช่วยไขความกระจ่างเกี่ยวกับเพชรสีแดงที่จำเป็นต้องรู้ก่อนซื้อนั่นเอง

 

เพชรสีแดง คืออะไร?

เพชรสีแดง (Red Diamonds) คือเพชรแฟนซีที่ หายากมากที่สุดในโลก เพราะโอกาสที่จะพบเพชรสีแดงตามธรรมชาติมีน้อยมาก โดยส่วนใหญ่มักพบที่แอฟริกา บราซิล และออสเตรเลีย ซึ่งเป็นแหล่งขึ้นชื่อเรื่องเพชรแฟนซีสีหายากเช่น เพชรสีฟ้า เพชรสีม่วง เพชรสีชมพู และเพชรสีแดง ซึ่งเพชรสีแดงส่วนใหญ่ที่เห็นในท้องตลาดมักเป็นเพชรสังเคราะห์ (Synthetic Diamonds) ที่ผลิตขึ้นในห้องแล็บ 

 

อ่านต่อ:เพชรสีฟ้าคืออะไร ใช่เพชรแท้หรือไม่ หายากแค่ไหน ราคาเท่าไหร่

 

เพชรสีแดง เกิดจากอะไร?

เพชรสีแดงความจริงแล้วมีคุณสมบัติไม่ต่างจากเพชรร่วงสีขาวใส ซึ่งสร้างมาจากคาร์บอนใต้พื้นดิน แต่เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของอะตอมภายในที่เรียกว่า การเปลี่ยนรูปแบบพลาสติก’ (Plastic Deformation) ที่เกิดจากแรงกระทำบางอย่างกับแร่ก้อนนั้นจนเกิดพิกัดการคงรูปความขาวใสไว้ และเปลี่ยนมาเป็นสีแดงในท้ายที่สุด 

 

ฉะนั้น หากปราศจากความผิดปกติดังกล่าว เพชรเม็ดนั้นจะเป็นเพียงเพชรร่วงขาวใสทั่วไป ซึ่งความผิดปกตินี้เกิดขึ้นได้ค่อนข้างยาก จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เพชรสีแดงที่เกิดตามธรรมชาติมีราคาสูงกว่าเพชรปกติ และมีราคาสูงกว่าเพชรแฟนซีสีอื่น ซึ่งเพชรสีแดงแท้แม้จะไม่เต็มกะรัตก็มีราคาเริ่มต้นสูงถึง 7 หลัก หรือ 1 ล้านบาทขึ้นไป 

 

เพชรสีแดงที่ดีวัดจากอะไร?

เพชรสีแดงอาศัยคุณสมบัติ4C’s ในการแบ่งเกรดไม่ต่างจากเพชรร่วงทั่วไป แต่สิ่งที่ทำให้เพชรสีแดงแตกต่างจากเพชรแฟนซีสีอื่นอย่างชัดเจนคือ สีในขณะที่เพชรแฟนซีสีอื่นจะแบ่งเกรดตามระดับความเข้มข้นของสี (Intensity Levels)แต่เพชรสีแดง ไม่สามารถแบ่งเกรดได้โดยอาศัยระดับความเข้มข้นของสี เช่น เพชรสีอ่อน (Fancy Light) เพชรสีเข้ม (Fancy Color) เพชรสีเข้มมาก (Fancy Intense) เพชรสีเข้มที่สุด (Fancy Vivid)

 

เพราะเพชรสีแดงจัดเป็นเพชรโทนสีเข้มที่สุดในเพชรสีชมพู จนมีสีคล้ายสีแดงอมชมพู หรือสีชมพูเข้ม จึงถูกเรียกในฐานะเพชรแฟนซีเท่านั้น อย่างไรก็ตามเฉดสีแดงสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 เฉด ได้แก่ สีแดงอมม่วง (Purplish) สีแดงอมน้ำตาล (Brownish) และสีแดงอมส้ม (Orangey) ซึ่งเฉดสีที่มีมูลค่าสูงมากที่สุดคือเพชรสีแดงอมม่วง

 

อ่านต่อ: คู่มือเกรดเพชร 4C’s ฉบับเข้าใจง่าย เลือกซื้อเพชรได้ตรงใจ

 

เพชรสีแดง-ต่างหูเพชรสีแดง

เพชรสีแดงแบบเพชรสังเคราะห์ และเพชรสีแดงแบบฉายรังสีคืออะไร?

เพชรสีแดงแบบสังเคราะห์ และเพชรฉายรังสีมีราคาถูกกว่าเพชรที่เกิดสีแดงขึ้นตามธรรมชาติ โดยเพชรสีแดงแบบสังเคราะห์คือเพชรสร้างขึ้นภายในห้องแล็บ ซึ่งถูกควบคุมสภาพแวดล้อมให้เหมือนกับใต้ดิน จึงมีคุณสมบัติเหมือนกับเพชรที่ขุดค้นพบใต้พื้นดิน โดยวิธีที่แยกความแตกต่างระหว่างเพชรสังเคราะห์และเพชรที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีเพียงการใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูเท่านั้น 

ในขณะที่เพชรสีแดงที่ผ่านการฉายรังสี หมายถึงเพชรที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่นำไปผ่านกระบวนการปรับปรุงคุณภาพสี หรือฉายรังสี โดยอาศัยผ่านกระบวนการทำความร้อน (Heating) และการระบายความร้อน (Cooling) เพื่อเปลี่ยนเพชรสีน้ำตาล ให้กลายเป็นเพชรสีแดงอมน้ำตาล หรือเพชรสีน้ำตาลที่มีเฉดสีเข้มขึ้น 

 

และถึงแม้เพชรสีแดงที่เกิดจากการฉายรังสี จะไม่ใช่เพชรสีแดงตามอุดมคติ แต่ก็เป็นที่ยอมรับกันในท้องตลาดว่าเป็นเพชรสีแดงที่คุ้มค่า เพราะมีราคาถูกกว่าเพชรสีแดงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม กระบวนฉายรังสีนี้อาจให้ผลลัพธ์สีที่ไม่ตรงกับความต้องการเท่าไหร่นัก หากเพชรเม็ดนั้นมีขนาดใหญ่เกินไป

ซึ่งข้อดีของการซื้อเพชรสีแดงแบบสังเคราะห์ และเพชรสีแดงแบบฉายรังสีนอกเหนือจากราคา คือตัวเลือกที่หลากหลายทั้งเรื่องของกะรัตน้ำหนัก (Carat) สีเพชร (Color) ความสะอาดเพชร (Clarity) และการเจียระไนเพชร (Cut) จึงหาราคาที่เหมาะสมกับงบประมาณได้ง่ายกว่า ในขณะเดียวกันหากเลือกซื้อเพชรสีแดงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเอง ตัวเลือกเหล่านี้จะน้อยลง และราคาสูงกว่ามาก

 

อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะซื้อเพชรสีแดงแบบไหนล้วนไม่ใช่สิ่งผิด หากรู้ว่าสิ่งที่ซื้อมาคืออะไร และมูลค่าที่จ่ายไปสอดคล้องกับคุณสมบัติจริงที่ได้รับหรือไม่ ฉะนั้นการซื้อเพชรสีแดงจะต้องซื้อจากร้านที่ซื่อสัตย์ สามารถตรวจสอบที่มาที่ไปได้ และมีใบรับรองคุณภาพเพชรก่อนซื้อทุกครั้ง ซึ่งร้าน Celi (เซ-ลี่) เป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับนักสะสมเพชร รวมไปถึงผู้ที่มองหาของขวัญชิ้นพิเศษให้คนสำคัญ เพราะเชื่อถือได้และมีผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำตลอดการซื้อ