“เพชรดิบ” อาจไม่คุ้นหูใครหลายคน แต่ความจริงแล้ว นี่คือจุดเริ่มต้นของเพชรเม็ดงามบนเครื่องประดับหลายชิ้นที่มีมูลค่าสูง
เพชรดิบคืออะไร
เพชรดิบ (Rough Diamonds) คือแร่ที่อาศัยอยู่ใต้เปลือกโลกชั้นใน หล่อหลอมรวมกันตามกระบวนการทางธรรมชาติระหว่างความร้อน และแก๊สคาร์บอนผ่านแรงกดที่สูงลิบ จนตกผลึกออกมาเป็นเพชรดิบ และถูกขุดขึ้นมาโดยไม่ผ่านการเจียระไนใด ๆ มีลักษณะขาวขุ่นคล้ายแก้ว ไม่เปล่งประกายต้องแสง เหลือบมัน มีผิวขรุขระ และมีหลายสี ตั้งแต่เพชรดิบสีขาวอมเหลือง ไปจนถึงเพชรดิบสีชมพู และเพชรดิบสีดำ ซึ่งเพชรดิบที่ถูกขุดขึ้นมาจะแบ่งออกเป็น 3 เกรดใหญ่ ๆ ดังนี้:
- เกรดอัญมณี(GemQuality)
- เกรดโรงงาน(Industrial Quality)
- เกรดต่ำ(Crushing-Boart or Boart)
โดยมีเพียง 20% ของเพชรดิบเท่านั้นที่จัดเป็นเกรดอัญมณี หรือเกรดที่ดีที่สุด ซึ่งเพชรดิบที่จะถูกคัดมาอยู่ในเกรดนี้มักมีความบริสุทธิ์ หรือมีสีอ่อน ไปจนถึงใสมากที่สุด ส่วนรูปทรงไม่สำคัญเพราะต้องนำมาเจียระไนอีกครั้งหนึ่ง ในขณะที่เกรดโรงงานส่วนใหญ่จะนิยมเป็นเพชรดิบสีเหลืองที่ต่ำกว่า 3 กะรัต และเกรดต่ำคือเพชรดิบทึบแสง นิยมใช้ทำเป็นผงเพชรสำหรับขัดเงา
วิธีสังเกตุเพชรดิบแท้ก่อนซื้อ
ถึงแม้เพชรดิบจะหาได้ยากกว่าเพชรที่ผ่านการเจียระไนมาแล้ว แต่ก็ใช่ว่าไม่มีใครซื้อ ซึ่งปัญหาการเลือกซื้อเพชรดิบคือผู้ซื้อมักจำแนกความแตกต่างระหว่าง ควอร์ซ แก้ว และเพชรดิบไม่ได้ เพราะทั้งสามสิ่งนี้ หากไม่ได้สังเกตุโดยผู้เชี่ยวชาญ และยังไม่ผ่านการเจียระไน จะมีลักษณะใกล้เคียงกันมากจนไม่สามารถแยกออกได้ด้วยตาเปล่า
ฉะนั้นวิธีการที่ง่ายที่สุดในการทดสอบเพชรดิบแท้ คือการนำเพชรชิ้นนั้นขูดบนพื้นผิวของแร่คอรันดัมเช่นทับทิม หรือแซฟไฟร์ เพราะมีค่าความแข็งรองจากเพชรเพียงเท่านั้น ฉะนั้นหากขูดแล้วเกิดรอยบนพื้นผิวของแร่คอรันดัม แสดงว่านั่นคือเพชรดิบแท้ นั่นหมายความว่าแร่ชิ้นใดก็ตามที่ดูคล้ายเพชรดิบ แต่ไม่สามารถขูดขีดพื้นผิวของแร่คอรันดัมให้เป็นรอยได้ คือเพชรดิบปลอม
ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดในการเลือกซื้อเพชรดิบ จำเป็นจะต้องมีหนังสือรับรองสำหรับเพชรภายใต้กรอบ Kimberley Process ทุกครั้ง เพื่อการันตีว่าเพชรที่นำมาขายไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสงครามค้าเพชร หรือเป็นเพชรเปื้อนเลือด
วิธีคำนวณราคาเพชรดิบ
เนื่องจากเพชรดิบแต่ละชิ้นมีลักษณะที่แตกต่างกันไปตามธรรมชาติจัดสรร ราคาจึงแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับเกณฑ์หลากหลายอย่าง เช่น ความหายาก แหล่งที่ขุดค้นพบ รูปทรง น้ำหนัก ตำหนิต่าง ๆ และต้นทุนในการขุดเพชรแต่ละครั้ง เป็นต้น
ซึ่งมีความเป็นได้ว่าคุณอาจได้เพชรน้ำ98% (สี F) และมีตำหนิเพียงเล็กน้อย (VS1) จำนวน1 กะรัต ในราคาราว ๆ 5,000 บาท แต่ถ้าจะนำเพชรดิบชิ้นนี้ไปเจียระไนอาจต้องคิดทบทวนใหม่ เพราะเพชรดิบจะไม่มีการการันตีคุณภาพใด ๆ และหลังจากเจียระไนแล้วอาจได้คุณภาพไม่เทียบเท่ากับที่ต้องการ
ในขณะที่ราคาการเจียระไนเพชรดิบต่อกะรัต อาจสูงกว่า 5,000 บาท เพราะต้องอาศัยช่างเพชรที่ชำนาญในการเจียระไนให้คงไว้ซึ่งน้ำหนักของเพชร และกะรัตได้มากที่สุด ในขณะเดียวกันก็ต้องควบคุมต้นทุนการผลิตให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งการเจียระไนแต่ละครั้ง อาจใช้เวลานานร่วม8ชั่วโมงต่อเพชร 1 กะรัต ฉะนั้นราคาเพชรดิบจึงถูกกว่าเพชรที่ผ่านการเจียระไนมาแล้วค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ตามเพชรดิบที่วางขายตามร้านต่าง ๆ มักไม่นิยมนำมาเจียระไนต่อ แต่จะทำเป็นแหวน และเครื่องประดับได้ ด้วยรูปทรงตามธรรมชาติของเพชรดิบชิ้นนั้นเลย อาจมีตัดแต่งทรงเพื่อให้ขึ้นเรือนเครื่องประดับได้สะดวก แต่จะไม่ขัดเงา หรือเพิ่มกะรัตใด ๆ ให้เพชรดิบชิ้นนั้น
ฉะนั้นหากต้องการเลือกซื้อเพชรดิบจริง ๆ จะต้องชั่งใจให้ดีว่าตนเองต้องการแบบไหน ระหว่างแหวนเพชรดิบที่ราคาถูกกว่า และมีรูปทรงแบบธรรมชาติ กับแหวนเพชรกะรัตงามที่ผ่านการเจียระไนจนเปล่งประกาย แวววาว ซึ่งที่ Celi (เซ-ลี่) มีบริการแนะนำแหวนเพชร และแหวนหมั้นอย่างเป็นกันเอง ที่ตอบโจทย์กับความต้องการของทุกคน โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านเพชรที่ไว้ใจได้