สีเพชร-เม็ดเพชร

สีเพชร (Color) ถึงแม้จะมีน้อยคนที่สามารถสังเกต และจำแนกสีได้ด้วยตาเปล่า โดยเฉพาะในเกรดเพชรไร้สี แต่การศึกษาข้อมูลสีเพชรก่อนเลือกซื้อจะช่วยประหยัดงบของคุณได้หลายบาทเลยทีเดียว

 

สีเพชร คืออะไร?

สีเพชร หรือคนไทยนิยมเรียกติดปากว่า ‘น้ำเพชร’ คือหนึ่งในสี่คุณลักษณะ (4Cs) ที่ใช้พิจารณาคุณภาพก่อนเลือกซื้อเพชรโดยอ้างอิงตามระบบ The Gemological Institute of America (GIA)  ซึ่งสีเพชรถูกแบ่งออกเป็น 23 เกรดย่อย(เกรด D – Z)และ 5 เกรดใหญ่ (ไร้สี – อมเหลือง)  

ซึ่งเพชรจะมีมูลค่าสูงขึ้นหากปนเปื้อนสีเหลืองน้อยลง โดยเพชรเกรด D หรือเพชรน้ำ 100% จะมีราคาสูงที่สุด เพราะเป็นเพชรขาวใสไร้สี ในทางกลับกัน เพชรบางเม็ดมีสี แต่มูลค่าสูงกว่าเพชรไร้สี เพราะเป็นเพชรสีแฟนซี ซึ่งหายากกว่าเพชรทั่วไป เช่นเพชรสีชมพู เพชรสีฟ้า และเพชรสีแดง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เพชรไร้สียังคงได้รับความนิยมมากกว่าเพชรแฟนซีอยู่ดี 

 

อ่านต่อ: เพชรสีฟ้าคืออะไร ใช่เพชรแท้หรือไม่ หายากแค่ไหน ราคาเท่าไหร่

 

สีเพชร-แหวนเพชร

 

รู้จักสีเพชรแต่ละเกรด

  • สีเพชร เกรดไร้สี (Colorless)
    สีเพชรเกรดไร้สี ได้แก่ เพชรเกรด D, E และ F จัดเป็นสีเพชรหายาก มีมูลค่าสูงมากที่สุด โดยเกรด D คือเพชรไร้สีโดยสมบูรณ์แบบ ในขณะที่เกรด E ถึงแม้จะใช้แว่นขยายระดับสิบสังเกตหาสีปนเปื้อนก็ยังลำบาก และเกรด F หากให้ผู้เชี่ยวชาญสังเกตด้วยตาเปล่าก็ยังใช้เวลาพอสมควรฉะนั้น หากคุณตั้งใจซื้อเพชรเกรดไร้สีในงบที่เหมาะสม เกรด F คือตัวเลือกที่ดีที่สุด ซึ่งในไทยมักเทียบเพชรเกรด D เป็นเพชรน้ำ 100, เกรด E เป็นเพชรน้ำ 99 และเกรด F เป็นเพชรน้ำ 98 ตามลำดับ

 

  • สีเพชร เกรดเกือบไร้สี (Nearly Colorless)
    สีเพชรเกรดเกือบไร้สี ได้แก่ เพชรเกรด G, H, I และ J โดยเพชรเหล่านี้ เมื่อมองจากหน้าเพชร (ด้านที่กว้างที่สุด) จะดูเหมือนเพชรไร้สี แต่ถ้าหากคว่ำหน้าเพชรลงบนกระดาษสีขาว และสังเกตตรงกลางเพชรจะเห็นสีเหลืองจาง ๆ อยู่ภายในตัวเพชรโดยเพชรเกรด G ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญด้านเพชรเท่านั้นจึงจะมองเห็นสีที่ติดมากับเพชร ในขณะที่เพชรเกรด H แทบไม่ต่างจากเพชรเกรดG แต่นับเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่า เพราะคุณสามารถนำงบส่วนต่างไปลงกับคุณภาพเพชรในด้านอื่น เช่นเลือกซื้อเพชรที่มีตำหนิน้อยลง (Clarity) หรือมีกะรัต(Carat) ใหญ่ขึ้น แต่ยังคงประกายเพชรแวววาวไว้ได้อย่างงดงามอยู่ในขณะที่เพชรเกรด I หากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านอัญมณีก็จะไม่สามารถสังเกตเห็นสีได้เช่นกัน ส่วนเพชรเกรด J ถือเป็นตัวเลือกสุดท้าย อย่างไรก็ตาม หากเพชรเกรดนี้ถูกเจียระไนเป็นอย่างดี และเลือกรูปทรงเพชรได้เหมาะสม ก็งดงามได้ไม่แพ้เพชรเกรดอื่น

 

  • สีเพชร เกรดอมเหลืองจาง (Faint)
    สีเพชรเกรดอมเหลืองจาง ได้แก่ เพชรเกรด K, L และ M โดยเพชรเหล่านี้เมื่อมองด้วยตาเปล่าจากหน้าเพชร จะเห็นสีเหลืองนวลชัดเจน และมีราคาถูกกว่าเพชรเกรด G – J พอสมควร เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบเครื่องประดับแนววินเทจ หรือต้องการซื้อเพชรกะรัตใหญ่ในราคาที่ถูกลง อย่างไรก็ตาม ยิ่งตัวเพชรมีกะรัตสูงมากเท่าไหร่ ยิ่งสังเกตสีได้ชัดเจนได้มากขึ้นเท่านั้น

 

  • สีเพชร เกรดอมเหลืองอ่อน (Very Light)
    สีเพชรเกรดอมเหลืองอ่อน ได้แก่ เพชรเกรด N, O, P, Q และ R เป็นเพชรที่อมเหลือง หรือน้ำตาล ซึ่งไม่เป็นที่นิยม และไม่แนะนำให้ซื้อ

 

  • สีเพชร เกรดอมเหลือง (Light)
    สีเพชรเกรดอมเหลือง ได้แก่ เพชรเกรด S, T, U, V, W, X, Y และ Zเป็นเพชรอมเหลือง หรือน้ำตาลที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าอย่างชัดเจน จึงไม่เป็นที่นิยมเช่นกัน

 

สีเพชร-แหวนวงกลม

 

วิธีเลือกสีเพชรที่ให้เหมาะกับแหวน และรูปทรง ในงบที่คุ้มค่า

สิ่งสำคัญในการเลือกสีเพชรคือความขาวใส ฉะนั้น หากคุณมีงบเหลือเฟือ การเลือกซื้อเพชรเกรด D – F ย่อมได้คุณภาพสีเพชรที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่าสีเพชรเกรดใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกรดไร้สี – เกือบไร้สี เมื่ออยู่บนเครื่องประดับ เช่น แหวนหมั้น จะมองแทบไม่เห็นสีปนเปื้อน หรือแยกเกรดเพชรออกได้ด้วยตาเปล่าถ้าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ 

 

ฉะนั้น หากคุณมีงบจำกัด การเลือกซื้อสีเพชรเกรดสูงจึงไม่จำเป็นเลย โดยวิธีต่อไปนี้จะช่วยให้คุณซื้อแหวนเพชรที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับเพชรเกรดไร้สี ในงบที่คุ้มค่ามากที่สุด

 

  • สีเพชรสำหรับแหวนทองคำขาว แหวนแพลทินัม
    โดยส่วนใหญ่สีเพชรที่นิยมใช้กับแหวนทองคำขาว และแหวนแพลทินัม จะเป็นเพชรเกรด D – G  เพราะมีความขาวใส แต่ราคาค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม ถ้าใช้แหวนทอง หรือแหวนโรสโกลด์จะดูดซับสีเหลืองทอง และสะท้อนออกมาจากตัวเพชรด้วยเช่นกันฉะนั้นถ้าคุณมีงบจำกัด และต้องการเพชรกลมประดับเรือนแหวนทองคำขาว และแหวนแพลทินัม ควรพิจารณาเพชรเกรด H, I และ J ในขณะที่เพชรสี่เหลี่ยมจะเหมาะกับเพชรเกรด G – I และเพชรทรงอื่น ๆ เหมาะกับเพชรเกรด F – H

 

  • สีเพชรสำหรับแหวนทอง แหวนโรสโกลด์
    ในทางกลับกันหากเลือกแหวนทอง หรือแหวนโรสโกลด์ จะช่วยประหยัดงบได้มากขึ้น เพราะแหวนทองจะช่วยปรับสีเพชรโทนเหลืองให้ขาวขึ้นได้ ซึ่งเพชรอมเหลืองเหล่านี้จะมีราคาถูกกว่าเพชรขาวใสเกรดสูง โดยเพชรกลมจะเหมาะกับเพชรเกรด K, L และ M ในขณะที่เพชรสี่เหลี่ยมเหมาะกับเพชรเกรด J – K และทรงอื่น ๆ เหมาะกับเพชรเกรด I – J

 

สีเพชร-แหวนเพชร2วง

 

สีเพชร และขนาดเพชร

หากคุณกำลังมองหาเพชรขนาด 1 กะรัตขึ้นไป สีเพชร และขนาดเพชรถือเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะเพชรเม็ดใหญ่จะทำให้สังเกตเห็นสีปนเปื้อนได้ชัดเจนมากขึ้น ฉะนั้นถ้าคุณมีงบจำกัด ควรพิจารณาเพชรเกรด G – H เท่านั้น ในขณะเดียวกัน หากต้องการซื้อเพชรที่ต่ำกว่า 1 กะรัต คุณอาจเลือกซื้อเพชรเกรด I, J และ K ได้

อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ต้องการซื้อแหวนเพชรล้อม แหวนเพชรแถว หรือแหวนเพชรเรียงกันสามเม็ด ควรเลือกเกรดสีเพชรเม็ดเล็ก ๆ ให้เข้ากับเพชรเม็ดหลักที่อยู่ตรงกลาง มิเช่นนั้น เพชรเม็ดกลางจะดูเหลืองขึ้นทันที

 

เทคนิคการดูสีเพชรเบื้องต้น

การดูสีเพชรต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญด้านอัญมณีตัดสินเกรดเพชรให้สอดคล้องกับหลัก GIA แต่ถ้าหากต้องการสังเกตสีเบื้องต้นด้วยตนเอง สามารถทำได้โดยการนำเพชรคว่ำลงบนกระดาษสีขาวในบริเวณที่มีแสงสว่างเพียงพอ จะพอช่วยให้สังเกตเห็นสีที่สะท้อนออกมาจากตัวเพชรได้บ้าง และอย่าลืมว่าหน้าเพชรก็สำคัญ เพราะเป็นส่วนที่เห็นบ่อยมากที่สุด อย่างไรก็ตาม ควรมีมาสเตอร์สโตน หรือเพชรเม็ดหลักเพื่อใช้เทียบเคียงสีเพื่อความแม่นยำมากที่สุดด้วยเช่นกัน

 

ทั้งนี้ สีเพชรไม่ได้เป็นเพียงหนึ่งคุณลักษณะที่พึงพิจารณาก่อนการซื้อเพชรเพียงเท่านั้น เพราะเพชรที่เจียระไนสวย มีหน้าตัดที่งดงาม ก็สามารถซ่อนสีปนเปื้อน และเล่นไฟให้เกิดประกายแวววาวได้ดีเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านอัญมณีเสมอ ซึ่งที่ร้าน Celi (เซ-ลี่) มีบริการให้คำปรึกษาก่อนการเลือกซื้อทุกครั้ง จึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับเพชรที่ตรงความต้องการมากที่สุด