รูปทรงเพชร

รูปทรงเพชรไม่ได้มีเพียงแค่ทรงคลาสสิกเช่น ทรงกลม หรือทรงสี่เหลี่ยมเพียงเท่านั้น รูปทรงเพชรแต่ละแบบจะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประกายไฟ หรือขนาดเพชร บทความนี้จะเป็นคู่มือเบื้องต้นในการเลือกรูปทรงเพชรที่ต้องการ 

 

รูปทรงเพชร-ทรงกลม

เพชรทรงกลม (Round Diamonds)

รูปทรงเพชรกลมคือเพชรที่คลาสสิกและได้รับความนิยมสูงสุดตลอดกาล มักเจียระไนแบบเหลี่ยมเกสร (Brilliant Cut) ประกอบด้วย 58 เหลี่ยม ทำให้สะท้อนแสงจนเปล่งประกายได้มากที่สุดในบรรดารูปทรงเพชรทั้งหมด และช่วยซ่อนตำหนิเพชรได้ดีกว่าเพชรรูปทรงอื่น

 

อย่างไรก็ตามรูปทรงเพชรนี้ไม่ได้ถูกออกแบบให้มีขนาดหน้าเพชรที่ใหญ่ เมื่อนำไปเทียบกับเพชรแฟนซีทรงอื่นจะเห็นว่าถึงแม้จะมีน้ำหนัก 1 กะรัตเท่ากัน แต่เพชรทรงกลมจะแลดูเล็กกว่าเสมอ แต่ถ้าหากเลือกเพชรที่เจียระไนดี เช่นเพชรทรงกลม 3EX ก็จะทำให้เพชรเม็ดนั้นดูมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่ากะรัตน้ำหนักจริง

 

ซึ่งรูปทรงเพชรนี้มักราคาสูงกว่างเพชรทรงอื่น เพราะเพชรทรงกลมความต้องการสูง และเพชรดิบส่วนใหญ่ที่ไม่ได้มีรูปทรงที่เหมาะแก่การเจียระไนเป็นทรงกลมเท่าไหร่นัก ซึ่งหน้าที่ของช่างเพชรคือการเจียระไนให้เพชรมีน้ำหนักมากที่สุดและเปล่งประกายได้มากที่สุด ฉะนั้นจึงมีเนื้อเพชรดิบที่ถูกเจียระไนทิ้งไปค่อนข้างเยอะกว่าจะได้เพชรทรงกลม 1 

เม็ด

 

อ่านต่อ: เพชรทรงกลม  ไขความลับทำไมราคาแพงกว่าเพชรทรงอื่น 

 

รูปทรงเพชร-ทรงสี่เหลี่ยม

เพชรทรงสี่เหลี่ยม (Princess Cut Diamonds)

รูปทรงเพชรสี่เหลี่ยมจัดเป็นเพชรที่ได้รับความนิยมรองลงมาจากเพชรทรงกลม มักมีราคาถูกกว่าเพชรทรงกลมในคุณลักษณะที่เหมือนกันทุกประการ เพราะเพชรดิบที่นำมาเจียระไนเป็นเพชรสี่เหลี่ยมจะได้ผลผลิตมากกว่าเพชรทรงกลม หรือสูญเสียเพชรดิบในปริมาณที่น้อยกว่า ราคาจึงต่ำกว่า

 

รูปทรงเพชรนี้มักมีเหลี่ยมเพชรราว 50 – 58 หน้า ขึ้นอยู่กับวิธีการเจียระไน แต่จะเปล่งประกายน้อยกว่าเพชรทรงกลม โดยอัตราส่วนความยาวต่อความกว้างของเพชรสี่เหลี่ยมที่สวยสมบูรณ์แบบควรจะอยู่ที่ 1.00 – 1.05 ซึ่งลวดลายเพชรมักเป็นแบบซิกแซก มีทั้ง 2 และ 4 แบบ หากมีลายซิกแซกสองแบบมักจะสะท้อนแสงสีขาวได้ชัดเจนและโดดเด่นกว่า แต่ถ้าหากมีสี่แบบจะเป็นประกายแวววาวมากกว่า

 

ซึ่งข้อควรระวังสำหรับรูปทรงเพชรนี้คือมุมเพชรที่ค่อนข้างแหลมคม อาจเกี่ยว กระแทก และทำให้บิ่นได้ง่าย ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยของเพชร ควรเลี่ยงเพชรที่มีตำหนิบริเวณมุมเพชรให้ได้มากสุด และเลือกหนามเตยที่ประคองและปกป้องมุมเพชรได้ดีที่สุด 

 

อ่านต่อ: เพชร Princess Cut คืออะไร? ราคาเท่าไหร่? ซื้อแบบไหนดีนะ?

 

รูปทรงเพชร-ทรงไข่

เพชรทรงไข่ (Oval Diamonds)

รูปทรงเพชรแบบไข่ มีลักษณะเป็นวงรี เล่นไฟได้ดีสูสีกับเพชรทรงกลม เพราะมีเหลี่ยมเพชรมากถึง 58 หน้า ช่วยเสริมให้นิ้วดูเรียวยาวขึ้น และทำให้มือดูเล็กลง รูปทรงเพชรนี้จะดูมีขนาดใหญ่กว่าเพชรทรงกลมที่น้ำหนักกะรัตเท่ากัน ตัวอย่างเช่น เพชรทรงกลม 1 กะรัตอาจมีขนาดราว 6.49*6.46 มิลลิเมตร ในขณะที่เพชรทรงไข่ 1 กะรัตอาจมีขนาด 7.55*5.54 มิลลิเมตร และที่สำคัญมีราคาถูกกว่าเพชรทรงกลมราว 10 – 30% เลยทีเดียว 

 

รูปทรงเพชรนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ทำกิจกรรมตลอดเวลา เน้นความทนทาน เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องมุมหรือเหลี่ยมที่อาจถูกกระแทกขณะสวมใส่ อย่างไรก็ตามมาตรฐานการเจียระไนสำหรับเพชรทรงไข่ถือเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะวิธีเจียระไนเพชรให้ได้รูปทรงนี้ค่อนข้างซับซ้อน ทาง GIA (Gemological Institute of America) จึงไม่ได้ระบุเกรดเจียระไนสำหรับเพชรทรงไข่ ฉะนั้นการซื้อเพชรทรงไข่จึงขึ้นอยู่กับความชอบของผู้สวมใส่เสียมากกว่า

 

รูปทรงเพชร-ทรงเม็ดข้าวสาร

เพชรทรงเม็ดข้าวสาร (Marquise Diamond)

 รูปทรงเพชรนี้ถูกเรียกอีกอย่างว่าทรงมาร์คีส์ โดยมีชื่อตามพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (Marquise of Pompadour) 

มีลักษณะหัวและท้ายเรียวเหมือนเมล็ดข้าวสาร แต่ตรงกลางจะบานออกเป็นทรงรี มีความคล้ายคลึงกับเพชรทรงไข่ เพราะช่วยให้นิ้วมือเรียวยาว และทำให้มือดูเพรียวมากขึ้น อีกทั้งยังแลดูมีขนาดใหญ่กว่าเมื่อเทียบกับเพชรทรงกลมที่มีน้ำหนักกะรัตเท่ากัน

 

ซึ่งอัตราส่วนความยาวต่อความกว้างที่ดีของเพชรรูปทรงนี้คือ 1.75 – 2.15 และที่สำคัญควรมีจุดสิ้นสุดทั้งสองด้านเสมอกันหรือสมมาตรกัน เพราะองศาที่คลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อยจะทำให้เพชรทรงนี้ไม่สมมาตร และสังเกตได้ในทันที 

 

นอกจากนี้ควรเลือกหนามเตยที่ปกป้องมุมบริเวณหัวและท้ายได้เป็นอย่างดี เพราะส่วนใหญ่จะบิ่นได้ง่าย เนื่องจากเป็นมุมทั้งสองก่อนที่จะถูกเจียระไน ถือเป็นจุดที่ใกล้กับขอบนอกของเพชรดิบมากที่สุด ฉะนั้นรูปทรงเพชรนี้จึงพบตำหนิได้ง่าย อย่างไรก็ตามหากเลือกหนามเตยที่เหมาะสม ก็จะช่วยบดบังตำหนิเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี 

 

อ่านต่อ: หนามเตยมีกี่แบบ แบบไหนเหมาะกับเพชรของคุณมากที่สุด

 

รูปทรงเพชร-ทรงแพร์

เพชรทรงแพร์ (Pear Shaped Diamonds)

รูปทรงเพชรนี้มีลักษณะคล้ายเพชรทรงมาร์คีส์ผสมรวมกับเพชรทรงกลม แต่จะมีมุมเพียง 1 มุมเท่านั้น ซึ่งมุมจะต้องอยู่กึ่งกลางของฐานลูกแพร์หรือสมมาตรกับส่วนฐานที่บานออก ด้านซ้ายและขวาควรมีลักษณะโค้งที่สมมาตรกันแบบปราศจากเส้นตรงเมื่อนำมาขนานกัน และส่วนยอดเพชรไม่ควรแคบหรือกว้างเกินไป

 

จุดเด่นรูปทรงเพชรลักษณะนี้คือราคา เพราะต่ำกว่าเพชรทรงกลมราว 10 – 30% และมีหน้าเพชรที่กว้างกว่าเพชรทรงกลมถึง 8% อย่างไรก็ตามควรเลี่ยงเพชรทรงแพร์ที่มีตำหนิบริเวณมุมหรือยอดเพชร เพราะเสี่ยงต่อการบิ่นได้ง่าย ฉะนั้นการเลือกหนามเตยที่แข็งแรงจึงสำคัญไม่แพ้กัน

 

รูปทรงเพชร-ทรงสี่เหลี่ยมขอบมน

เพชรสี่เหลี่ยมขอบมน (Cushion Cut Diamonds)

รูปทรงเพชรนี้มีลักษณะคล้ายหมอนอิง โดยมีมุมสี่เหลี่ยมที่โค้งมน ซึ่งเกิดจากการเจียระไนแบบผสมผสานระหว่าง Brilliant Cut และ Step Cut โดยขอบมนของเพชรจะช่วยให้สะท้อนแสงได้มากกว่าปกติ มีจำนวนเหลี่ยมเริ่มต้นตั้งแต่ 58 และสูงสุด 64 เหลี่ยมด้วยกัน อาจมีลักษณะคล้ายสี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือสี่เหลี่ยมผืนผ้าก็ได้ทั้งนั้น

 

ควรเลือกซื้อเพชร Cushion Cut ที่มีหน้าเพชรและความลึกเพชรควรต่ำกว่า 70% และควรเลี่ยงการซื้อเพชรเกรดสีที่ต่ำกว่าน้ำ 96 (H Color) นอกจากนี้รูปทรงเพชร Cushion Cut ยังง่ายต่อการสังเกตเห็นตำหนิ เพราะมีหน้าเพชรกว้างกว่าปกติ ฉะนั้นควรเลือกซื้อเพชรที่มีค่าความสะอาดค่อนข้างสูง

 

รูปทรงเพชร-สี่เหลี่ยมผืนผ้ามุมตัด

เพชรทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ามุมตัด (Emerald Cut Diamonds) 

 รูปทรงเพชรนี้เรียกอีกอย่างว่าเพชรทรงมรกต โดยมุมทั้งสี่ด้านจะถูกตัดออก และเจียระไนด้วยเทคนิคขั้นบันได (Step Cut) การเลือกซื้อเพชรทรงนี้ ควรเลือกเพชรที่มีค่าความลึกต่ำกว่า 74% และมีอัตราส่วนความกว้างต่อความยาวราว 1.30 – 1.60 ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้า

 

รูปทรงเพชรนี้จัดเป็นเพชรหน้าเปิด ทำให้สังเกตเห็นตำหนิได้ง่ายกว่าปกติ ฉะนั้นควรเลี่ยงค่าความสะอาดที่ต่ำกว่า VS2 เพราะการเจียระไนแบบขั้นบันไดไม่ได้ออกแบบมาให้เล่นไฟระยิบระยับได้ดีจนสามารถซ่อนตำหนิต่าง ๆ ได้ อย่างไรก็ตามถึงแม้จะมีไฟน้อย แต่ประกายที่เกิดขึ้นจะสว่างสุกใสกว่าเพชรทรงอื่น เป็นเพชรที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพชรที่แลดูใหญ่กว่าขนาดจริงที่เลือกซื้อ และมีราคาถูกกว่าเพชรทรงกลม 

 

รูปทรงเพชร-ทรงกลมเหลี่ยมขั้นบันได

เพชรทรงกลมเหลี่ยมขั้นบันได (Asscher Cut Diamonds) 

 รูปทรงเพชรนี้ดัดแปลงมาจากเพชรทรงมรกต หรือเรียกว่า สี่เหลี่ยมมรกต มีทั้งหมด 58 เหลี่ยม เล่นไฟระยิบระยับได้ดีไม่แพ้เพชรทรงกลม แต่หน้าเพชรจะค่อนข้างแคบ เพราะมีหน้าตัดลาดลึกบริเวณมุมเพชร จึงมีลักษณะคล้ายแปดเหลี่ยม หรืออยู่กึ่งกลางระหว่างเพชรทรงกลมและเพชรสี่เหลี่ยม (Princess Cut Diamonds)

 

คนส่วนใหญ่ที่ชื่นชอบความวินเทจจะชอบรูปทรงเพชรแบบ Asscher Cut ควรเลือกซื้อเพชรที่มีความลึกราว 60 – 68% โดยมีสัดส่วนความกว้างต่อความยาวราว 1.00 – 1.05

 

รูปทรงเพชร-สี่เหลี่ยมผืนผ้า

เพชรทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า (Radiant Cut Diamonds)

รูปทรงเพชรนี้เกิดจากการเจียระไนเพชรทรงกลมผสมกับเพชรทรงสี่เหลี่ยมมรกต เป็นทรงสี่เหลี่ยมแบบแรกที่ถูกเจียระไนแบบเหลี่ยมเกสร (Brilliant Cut) ได้สมบูรณ์แบบมากที่สุดในบรรดาเพชรทรงสี่เหลี่ยมทั้งหมด โดยมีหน้าเพชรมากถึง 70 หน้า ทำให้เล่นไฟได้ดี และเป็นประกายมากขึ้น

 

เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพชรที่ไม่ใช่ทรงกลม แต่ยังคงประกายระยิบระยับได้ดี และทนทานกว่าเพชรสี่เหลี่ยมแบบอื่น ๆ เพราะโอกาสที่มุมจะบิ่นมีน้อยกว่า อีกทั้งยังราคาถูกกว่าเพชรทรงกลมที่มีคุณสมบัติเหมือนกันทุกประการเกือบ 50 – 56%

 

รูปทรงเพชร-ทรงหัวใจ

เพชรทรงหัวใจ (Heart Shaped Diamonds)

 รูปทรงเพชรนี้เป็นสัญลักษณ์แทนความรัก อาศัยความชำนาญของช่างอัญมณีให้เจียระไนเพชรออกมาได้สมมาตรและแม่นยำมากที่สุด โดยการแต่งเติมเพชรรูปทรงหยดน้ำให้เป็นรอยเว้าจนกลายเป็นรูปหัวใจ โดยอัตราส่วนความยาวต่อความกว้างควรอยู่ที่ 1.0

 

รูปทรงเพชรรูปหัวใจจะเจียระไนด้วยวิธี Modified Brilliant Cut ที่ทำให้เกิดประกายไฟคล้ายกับเพชรทรงกลม เพราะมีหน้าเพชรราว 56 – 58 หน้า แต่ไม่เปล่งประกายเทียบเท่า เพราะรูปทรงต่างกัน และควรเลือกซื้อเพชรทรงหัวใจที่หนัก 1 กะรัตขึ้นไป หากเล็กว่านั้นจะสังเกตได้ยากว่าเป็นเพชรทรงหัวใจ และไม่ควรเลือกเพชรทรงหัวใจที่มีเปอร์เซ็นต์ความลึกน้อยกว่า 56 และมากกว่า 66 เพื่อให้เพชรคงประกายไฟที่สวยงามที่สุด

 

ค้นหารูปทรงเพชรที่ต้องการ ในราคาสบายกระเป๋า พร้อมใบเซอร์ GIA ที่รับรองว่าเป็นเพชรแท้แน่นอน 100% ได้ที่ร้าน Celi (เซ-ลี่) ร้านเพชร ชื่อดังใจกลางกรุงเทพ ที่ตั้งอยู่ ณ ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 1 (ประตูทางเข้าถนนพระราม 1) เราพร้อมให้คำปรึกษาด้านเพชรโดยผู้เชี่ยวชาญด้านอัญมณีโดยตรง มั่นใจว่าจะได้รับเพชรเม็ดที่ดีที่สุด ในงบประมาณที่ตรงใจมากที่สุด